สาระสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญา
รวบรวมโดย ..สำนักฝึกอบรมวิชาว่าความแห่งสภาทนายความ
คดีอาญา คือ
คดีที่มีการฟ้องกันเกี่ยวกับความผิด และโทษซึ่งกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
และกฎหมายอื่นๆ ในขณะที่มีการกระทำความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรค 1 บัญญัติว่า
บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะที่กระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิด
และกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น
ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
มาตรา 18
บัญญัติว่า โทษสำหรับที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดมีดังนี้
1. ประหารชีวิต (คือ การฉีดยา หรือสารพิษให้ตาย)
2 . จำคุก (คือ การคุมขังไว้ในเรือน จำ การคำนวณระยะเวลาจำคุก จะนับวันเริ่มจำคุกรวมเข้าด้วย และนับเป็น
1 เดือนเต็ม โดยไม่คำนึงถึงถึงจำนวนชั่วโมงว่าต้องครบ 24 ชั่วโมง ถ้าโทษจำคุกกำหนดเป็นเดือน ให้นับ 30 วันเต็มเป็น 1 เดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คิดคำนวณตามปีปฏิทิน)
3 . กักขัง (คือ การกักขังไว้ในที่สถานที่กักขัง ซึ่งกำหนดไว้ซึ่งมิใช่เรือนจำสถานีตำรวจ
หรือสถานที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน)
4 . ปรับ
(คือการที่จำเลยต้องชำระเงินตามจำนวนตามที่ศาลพิพากษา หากไม่ชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา จำเลยอาจถูกยึดทรัพย์สินใช้แทนค่าปรับ
หรืออาจถูกกักขังแทนค่าปรับ โดยถืออัตราค่าปรับ 200 บาท ต่อการกักขัง 1 วัน
ถ้าจำเลยเคยถูกควบคุมตัวมาก่อนไม่ว่าจะเป็นชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ
หรือชั้นศาล
ศาลจะนำวันที่ถูกควบคุมตัวนั้นมาคิดหักวันขังให้ด้วยหรือจำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอทำงานสาธารณประโยชน์
หรืองานบริการสังคม แทนการชำระค่าปรับก็ได้ ถ้าศาลเห็นสมควรอนุญาต
ศาลจะต้องกำหนดชั่วโมงการทำงานที่จะถือว่าเป็น 1 วันทำงานไว้ด้วย
การกักขังแทนค่าปรับนี้ กฎหมายห้ามมิให้กักขังแทนค่าปรับเกิน 1 ปี เว้นแต่คำพิพากษาให้ปรับตั้งแต่ 80,000 บาท สามารถกักขังแทนค่าปรับเกิน 1 ปีได้ แต่ต้องไม่เกิน 2 ปี)
5 . ริบทรัพย์สิน (คือ ทรัพย์ที่ผู้นั้นได้ใช้
หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด
ศาลมีอำนาจสั่งริบ
เว้นแต่ทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์สินของผู้อื่นที่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย
เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพื่อขอคืนทรัพย์สินของตนไว้)
แต่การที่เอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้นั้นได้กระทำความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
และบุคคลจักต้องรับโทษทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาเว้นแต่จะเข้าเหตุยกเว้นตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
หรืออาจกล่าวได้ว่า คดีอาญา
เป็นเรื่องที่ฟ้องเพื่อเอาผิดกับบุคคลที่ได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำนั้น
บัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ให้มารับโทษ
และโทษจะสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นตาย โดยผู้ฟ้องจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าผู้กระทำนั้นมีเจตนาประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลจากการกระทำการอันกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิดนั้น
ศาลจึงจะลงโทษผู้นั้นได้ และโทษที่จะลงนั้น
ต้องเป็นโทษที่กฎหมายที่ใช้ในขณะที่มีการกระทำความผิดนั้นกำหนดไว้ด้วย(มีต่อนะครับ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น